ประวัติส่วนตัว

ชื่อ : นางสาวณิชานันทน์ นามสกุล : มาแผ้ว

ชื่อเล่น : เติ้ล อายุ : 21 ปี กรุ๊ปเลือด B

เกิดวันที่ : 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : 165 หมู่ 9 ตำบล ฟากห้วย อำเภอ อรัญประเทศ
จังหวัด สระแก้ว 27120

ที่อยู่ที่ติดต่อได้ : 413/13 อาคารณภัทร แมนชั่น ซอยวัดรวกสุทธาราม
ถนนจรัญสนิทวงค์ แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพ 10700

E-Mail : bs5021408383@windowslive.com

Blogspot : titlenichanun.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

มะม่วงป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม


อาจจะถึงเวลาที่ต้องเพิ่มมะม่วงในรายชื่ออาหารชั้นเยี่ยมเพราะนอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีสูงอีกด้วยและในขณะนี้ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ ค้นพบว่ามะม่วงอาจช่วยป้องกันหรือทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้การศึกษาจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์อาหารจากศูนย์วิจัยTexas AgriLife โดยทำการทดสอบสารสกัดโพลีฟีนอลในมะม่วง(สารธรรมชาติที่พบในพืช ซึ่งเชื่อว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพ) กับเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมลูกหมากในห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากมะม่วงมีผลต่อมะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมากบ้างเล็กน้อย แต่กลับมีประสิทธิภาพมากกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ตายได้ รวมทั้งยังไม่ทำอันตรายกับเซลล์ที่ดีซึ่งอยู่ติดกับเซลล์มะเร็งด้วยจากผลการศึกษานี้นักวิจัยวางแผนต่อไปว่าจะทำการทดลองเล็กๆ ทางคลินิกกับอาสาสมัครที่มีการอักเสบของลำไส้เล็กและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เพื่อดูว่ามีผลทางคลินิกหรือไม่?

สำหรับประโยชน์ของมะม่วงนั้น นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังมีวิตามินเอ(เบต้าแคโรทีน) และมีวิตามินอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น วิตามินอี บี และเค ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นสำหรับหัวใจ ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและยังอุดมไปด้วยเส้นใย ช่วยรักษาอาการท้องผูกและกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่แข็งเกร็งได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

'การเดิน' ช่วยให้สมองเสื่อมช้าลง



ทุกคนรู้ว่าการเดินทำให้ร่างกายผู้สูงวัย ยืดหยุ่นขึ้น แต่มีกี่คนที่รู้ว่าการออกกำลังกายที่ไม่มีค่าใช้จ่ายนี้ ดีต่อสมองด้วย งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การเดินกระตุ้นการเชื่อมโยงภายในวงจรสมอง ที่มีแนวโน้มเสื่อมถอยลงขณะที่ผมหงอกเพิ่มจำนวนแทนที่ผมสีอื่น "รูปแบบการเชื่อมต่อของ เครือข่ายสมองของผู้สูงวัยจะเสื่อมลง ซึ่งไม่ช่วยสนับสนุนสิ่งที่เราทำ เช่น การขับรถ แต่เราพบว่าความสามารถของร่างกายที่จะนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เครือข่ายสมองประสานกันมากขึ้น" ดร.อาร์เธอร์เอฟ เครเมอร์ ผู้นำการวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์สหรัฐฯ กล่าว การศึกษาการเดินของเครเมอร์ที่ตีพิมพ์อยู่ในวาร สารฟรอนเทียร์อิน เอดจิ้ง นิวโรไซนส์ ติดตามผลผู้ใหญ่อายุ 60-80 ปี จำนวน 70 คน เป็นเวลา 1 ปี โดยมีอาสาสมัครหนุ่มสาวอายุ 20-30 ปี อีกกลุ่มเป็นกลุ่มควบคุมเพื่อใช้เปรียบเทียบในการประเมินพฤติกรรมการนั่งๆ นอนๆ ในอดีตของกลุ่มตัวอย่าง เครมเมอร์เผยว่า กลุ่มที่ออกกำลังกายด้วยการเดิน มีพัฒนาการชัดเจนกว่า ไม่เพียงในด้านร่างกาย แต่จากการใช้อุปกรณ์เอฟเอ็มอาร์ไอสแกนสมองยังพบว่า กลุ่มนี้มีความจำดีขึ้น รวมถึงสมาธิ และกระบวนการคิดอีกหลายอย่าง "ขณะที่ผู้สูงวัยในกลุ่มที่เดิน ออกกำลังกายมีความฟิตทางร่างกายมากขึ้น การประสานงานระหว่างสมองส่วนต่างๆ ดีขึ้นเช่นกัน และเกือบเทียบเท่าหนุ่มสาวอายุ 20 ปีเลยทีเดียว" เครเมอร์อธิบาย อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่สามารถสังเกตเห็นได้หลังจากมีการออกกำลังกายด้วยการเดินนาน 12 เดือน และจากการวัดผลในช่วง 6 เดือนแรกไม่ปรากฏสัญญาณชัดเจนใดๆ การค้นพบนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ ดร.ลินน์ มิลลาร์ ผู้เชี่ยวชาญของอเมริกัน คอลเลจ ออฟ สปอร์ตส์ เมดิซิน และเป็นศาสตราจารย์สาขากายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยแอนดริวส์ในมิชิแกนสหรัฐฯ เธอบอกว่าแม้การเดินดูเหมือนเป็นกิจกรรมเรียบง่าย แต่จริงๆ แล้วระหว่างนั้น สมองทำงานในการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
"ขณะเดินเรารวบรวมข้อมูลภาพ เสียง ตลอดจนถึงข้อมูลที่มาจากข้อต่อและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของเท้า แรงที่ใช้ และอื่นๆ เป็นความคิดแบบคนสมัยก่อน นั่นคือถ้าคุณไม่ใช้ คุณก็จะสูญเสียมันไป ดังนั้น เพื่อให้ได้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆ เราจึงจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้นซ้ำๆ และการเดินก็เป็นกิจกรรมที่สามารถทำซ้ำได้ไม่รู้จบ" มิลลาร์ กล่าว แม้การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ ได้เมื่อถึงวัยชรา แต่ไม่จำเป็นว่าสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนที่เกิดกับคนทั่วไป "เรารู้ว่าปฏิกิริยาของเราจะช้า ลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่การทำกิจกรรมเป็นวิธีรับมือที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ถ้าเราออกเดิน เราจะสามารถยืดเส้นยืดสายและทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น" ทางด้านเครเมอร์ที่ทำงานกับทหารและผู้พิการด้วย ยังคงมุ่งมั่นศึกษาผลลบจากภาวะสูงวัยจากทางเลือกไลฟ์สไตล์ต่างๆ "เราสนใจที่จะได้เข้าใจความ ยืดหยุ่นของสมอง แต่เรายังสนใจในเรื่องที่ว่าจะต้องอะไรบ้างเพื่อให้ได้สิ่งนั้นด้วย เราไม่สามารถรอยาวิเศษแต่ควรทำบางอย่างให้แก่ตัวเองตั้งแต่วันนี้"

วิธีนอนในรถอย่างปลอดภัย


การจอดรถนอนนั้นเป็นเรื่องที่เราแนะนำให้คนจำนวนมากทำ โดยเฉพาะในหมู่นักเดินทางที่เหนื่อยล้าจากการขับรถทางไกลเป็นเวลานานๆ อาการดังกล่าวนั้น อาจส่งผลให้เกิดการหลับในและก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการจอดรถหลับพักผ่อนสักหน่อยก่อนจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง อันตรายจากการจอดรถนอนหลับนั้นความจริงแล้ว เป็นภัยใกล้ตัวที่เราอาจวิตกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตมากกว่าคิดถึงเรื่อง อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ ที่เรามักจะอ่านข่าวพบว่า มีคนเสียชีวิตจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้แล้วเปิดแอร์นอน สิ่งที่ผิดที่สุดของแนวคิดการนอนในรถนั้นไม่ใช่ระบบปรับอากาศ แต่มันคือการสตาร์ทเครื่องยนต์เดินเบาทิ้งเอาไว้ เพื่อให้ระบบปรับอากาศนั้นสร้างความเย็นสบายตลอดเวลา ความคิดที่รักสบายนี่เอง ทำให้หลายคนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ เพราะ แม้เครื่องยนต์และระบบปรับอากาศในห้องโดยสารจะไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่าความจริงนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความตาย โดยปกติแล้วระบบปรับอากาศภายในรถยนต์นั้น จะทำงานคล้ายๆกับระบบแอร์ทั่วไป คือ แลกเปลี่ยนอุณภูมิผ่านน้ำยาที่เป็นตัวนำไประบายความร้อนออก แล้วกลับมาวนปรับอุณภูมิต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ จนได้อุณหภูมิตามต้องการ แม้เราจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าระบบปรับอากาศในห้องโดยสาร เป็นพื้นที่ปิดเพื่อใช้กักเก็บอุณหภูมิ แต่สิ่งที่อยู่ในระบบกับการดูดอากาศภายนอกบางส่วนมาหมุนเวียนในห้องโดยสาร นั้นกลับเป็นชนวนต้นเหตุความตาย นี่เองที่เป็นสาเหตุหลักที่อาจทำให้คุณตายได้โดยไม่รู้ตัว เพราะ เมื่อคุณติดเครื่องยนต์รถทิ้งไว้ไอเสียบางส่วนก็จะถูกพัดลมแอร์ดูดเข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งถ้าหากมันมาเป็นจำนวนมากคุณจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงและตื่นขึ้นเหมือน สัญญาณเตือนของร่างกาย ซึ่งในรถยนต์บางรุ่นจะติดตั้งตัวดักไอเสียสู่ห้องโดยสาร เพื่อป้องกันคนนอนในรถเป็นเวลานานๆ แต่กลับกันเมื่อเจ้าก๊าซพิษค่อยๆย่างกรายเข้ามาทีละนิด ในขณะที่กำลังฝันหวานก็ไม่ทางรู้สึกเลยว่ากำลังชะตาขาดขณะพักผ่อน หลายคนคงเคยรู้สึกปวดหัวเวลาขับรถไปเจอการการจราจรขัดติด โดยมากคงนึกว่าเรากำลังผจญภาวะความเครียด แม้เหตุผลดังกล่าวจะถูกต้องในส่วนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วอีกด้านเรากำลังสูดดมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ร่างกาย และจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์ ได้กล่าวถึง อันตรายของการสูดดมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ว่า อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง ปวดศีรษะ เซื่อมซึม เคลิบเคลิ้ม สั่นกระตุก หายใจติดขัด หมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นปิดปกติ เนื่องจากมีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ และมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากพบว่า ถ้าเราสูดดมไอเสียทีละน้อยเป็นเวลากว่า 5-6 ชั่วโมง อาจส่งเราสู่สุคติได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้หากคุณมีความจำเป็นจริงๆในการนอนในรถระหว่างเดินทางเราก็มีวิธีที่ถูกต้องมาแนะนำให้ปฏิบัติตามกัน

1. หาที่เหมาะสม เมื่อเริ่มรู้สึกง่วงพยายามหาที่เหมาะสมในการจอดรถ เราแนะนำให้จอดในสถานีบริการ ถ้าเป็นไปได้หรือถ้าไม่มีก็พยายามหาจุดที่เป็นชุมชน ป้อมตำรวจทางหลวงหรือไม่ก็มีแสงไฟสลัวๆดีกว่า เพื่อป้องกันโจรไปด้วยในตัว

2. ดับเครื่องยนต์ เมื่อจอดแล้วดับเครื่องยนต์ทันทีแม้อาจจะเริ่มรู้สึกอึดอัดบ้าง หากคิดว่าไม่สบายตัวก็แง้มกระจกลงสักนิด 2-3 เพื่อระบายอากาศและรับลมจากภายนอก

3. ปรับเบาะเอนเบาะนอนให้เหมาะสม การนอนในรถไม่ใช่การที่คุณเอนนอนทั้งหมด เพราะ แต่ละคนมีท่านอนที่ชอบไม่เหมือนกัน ให้คุณปรับเอนนอนให้พอดีเพียงพอ เพราะการเอนนอนมากไปจะทำให้คุณเมื่อล้าได้ภายหลัง

4. ใช้พัดลมแอร์ช่วยให้หลับ เมื่อพร้อมจะหลับก็ให้บิดกุญแจไปที่จังหวะออนเพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงาน แล้วจึงบิดเปิดสวิทช์แอร์ เมื่อเปิดแล้วให้หาปุ่มที่เขียนว่า A/C หรืออาจะเป็นรูปรถที่มีลูกศรชี้เข้ามาในตัวรถจากภายนอกให้เลือกกดปุ่มดัง กล่าว ซึ่งพัดลมแอร์จะดูดอากาศมาหมุนเวียนในห้องโดยสารแม้จะไม่เย็นเหมือนแอร์แต่ ก็พอให้คุณเคลิ้มหลับได้สบาย ซึ่งบางคนอาจเกรงว่าแบตจะหมด แต่เราแค่ต้องการพักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งแบตเตอร์รี่ขนาด 60 แอมป์ สามารถใช้ได้นานกว่า 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว นี่เป็นวิธีการนอนในรถที่ถูกต้องและเราไม่ แนะนำให้ใช้รถเป็นโรงแรมคลื่อนที่ เนื่องจากแม้จะนอนได้แบบพอทน แต่มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพกระดูกสันหลัง เช่นเดียวกับความไม่ปลอดภัยในชีวิต หากจำเป็นควรนอนพอให้หายอ่อนเพลียประมาณ 30-40 นาที เมื่อพร้อมแล้วจึงเดินทางต่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ขนมไหว้พระจันทร์


เทศกาลไหว้พระจันทร์ มีเครื่องเซ่นไหว้เป็นขนมเปี๊ยะ เช่นเดียวกับเทศกาลอื่นๆที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ กันไป เช่น เทศกาลไหว้ขนมจ้าง ก็มีขนมบ๊ะจ่าง, เทศกาลหยวนเซียว (เทศกาลโคมไฟ) ก็มีขนมสาคูต้ม (ทางหยวน) ขนมไหว้พระจันทร์ เรียกในภาษาจีนว่า “ เย่ว์ปิ่ง ” “ เย่ว์ ” แปลว่า พระจันทร์ “ ปิ่ง ” แปลว่า ขนมเปี๊ยะ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นศิริมงคล ความปรารถนาดีต่อกัน และความสมัครสมานสามัคคี เพราะในเทศกาลนี้คนในครอบครัวจะมาอยู่พร้อมหน้ากัน กินขนมไปพลาง ชมพระจันทร์ไปพลางเดิมทีนั้น เย่ว์ปิ่ง เรียกว่า “ หูปิ่ง ” ซึ่งแปลว่า ขนมเปี๊ยะวอลนัท ซึ่งเป็นขนมแป้งอบของจีนทำมาจากงาและวอลนัท ชื่อ “ หูปิ่ง ” ภายหลังเปลี่ยนมาเป็น“ เย่ว์ปิ่ง ” ก็มีเรื่องเล่าเช่นกันว่า ในคืนวันไหว้พระจันทร์ปีหนึ่ง พระเจ้าถังเสวียนจงปรารภขึ้นว่า ชื่อ “หูปิ่ง” ไม่ไพเราะ ขณะนั้นหยางกุ้ยเฟยสนมเอกของพระองค์ ซึ่งนั่งชมจันทร์อย่างเพลิดเพลินอยู่ข้างๆ ก็เปรยขึ้นมาว่า “เย่ว์ปิ่ง” ที่แปลว่า ขนมเปี๊ยะพระจันทร์ ตั้งแต่นั้นมาจึงใช้ชื่อนี้เรียกแทน“หูปิ่ง” เรื่อยมา

ตำนานของขนมไหว้พระจันทร์ ก็มีเรื่องเล่าที่เกี่ยวโยงกับพงศาวดารจีนอยู่ด้วย กล่าวคือ เมื่อประมาณ 600 ปีก่อน เล่ากันว่า เจงกิสข่านแห่งมองโกลเข้ายึดครองแผ่นดินใหญ่และปกครองชาวจีนอย่างเข้มงวด ชาวจีนกลุ่มหนึ่งจึงรวมตัวกันก่อตั้งขบวนการใต้ดินเพื่อทำการก่อกบฏพวกเขาคิดอุบายโดยอาศัยงานวันไหว้พระจันทร์ ซึ่งจะมีการทำขนมเปี๊ยะขนาดใหญ่มีไส้หนา ภายในขนมได้ซ่อนจดหมายนัดแนะกันกำจัดพวกมองโกล กำหนดเวลาเที่ยงคืนของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นคืนก่อการ แล้วแจกจ่ายไปในหมู่ผู้ก่อการกบฏ ทำทีว่าเป็นการนำขนมไปแจกในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย เมื่อถึงเวลาก็ตีเกราะเคาะร้องบอกกัน ให้ลงมือสังหารชาวมองโกลทันทีภายหลังเมื่อชาวจีนได้เอกราชคืน ได้ถือเอา วันเพ็ญเดือนแปด เป็นวันไหว้พระจันทร์เรื่อยมา และนำขนมเปี๊ยะนี้มาไหว้พระจันทร์อีกด้วย เพราะถือเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความสามัคคีร่วมกันขนมไหว้พระจันทร์มีลวดลายหลายรูปทรง รวมถึงไส้ขนมที่แตกต่างกันไป
ขนมไหว้พระจันทร์รสเลิศของประเพณีจีน ซึ่งในยุคหลังๆ มานี้ ชาวจีนนิยมให้เป็นของขวัญระหว่างครอบครัวและเพื่อนฝูงในเทศกาลไหว้พระจันทร์ จนมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจและที่ทำงานในสังคมจีนยุคใหม่ไปแล้วก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือที่ชาวจีนเรียกว่า เทศกาลใบไม้ร่วง(中秋节)ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 พื้นที่เคานท์เตอร์ต้อนรับในอาคารสำนักงานเกือบทุกแห่งของจีน เต็มไปด้วยกล่องขนมไหว้พระจันทร์เทศกาลตามประเพณีเก่าแก่นี้ ดูจะกลายเป็น “เทศกาลคริสต์มาส”ของชาวจีน ด้วยจำนวนการให้และรับของขวัญสูงกว่าเทศกาลอื่นๆ บางบริษัทในปักกิ่ง มีการส่งของขวัญให้ลูกค้าในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์มากกว่าที่ส่งให้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วยซ้ำหลินเจียน นักเขียนรับเชิญของเว็บไซต์นิตยสารไฟแนนเชียล ไทมส์ ภาคภาษาจีน กล่าวว่า การส่งขนมไหว้ให้แก่กันเป็นเพียงการสื่อความต้องการรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ “จำนวนขนมไหว้พระจันทร์ที่บุคคลหนึ่งได้รับ จะเป็นตัววัดคุณค่าในตัวบุคคลนั้น” หลินระบุ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553


โรคร้อนในหรือโรคปากเปื่อยซึ่งมักจะเกิดในคนที่นอนหลับ พักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายอ่อนแอขาดภูมิคุ้มกันเชื้อโรค ในช่องปากโรคนี้เป็นโรคที่อาจจะดูไม่ร้ายแรง แต่ทำให้เกิดความทุกข์ ทรมานแก่ผู้เป็นได้ไม่น้อย เพราะกินดื่มอะไรก็ไม่สะดวก ปวดแสบปวดร้อนตรงแผลบริเวณแผลที่พองอยู่ตลอดเวลา วิธีแก้ลอง เอาเกลือป่นอมไว้ในปากสัก 10 นาที ทำอย่างนี้ ทั้งเช้าและเย็น เกลือจะสมานแผลและฆ่าเชื้อโรคได้ดี อาการปากเปื่อยแผลพุพองจะทุเลาเร็วขึ้น

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

5 อย่า! เมื่อคุณจะนอน


อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ
เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อยๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย
อย่าคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับ
รวมถึงอย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ไกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า
เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง
อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง
ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ
อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า
อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น
เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย . . . (อันนี้ขำๆ ค่ะ แต่ถ้าแฟนเขารู้คุณๆ อาจขำไม่ออกนะจ๊ะ)

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

จะกินไข่ไก่หรือไข่เป็ดดี


วันนี้คุณรับประทานไข่หรือยังหรือวันนี้คุณรับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วว่า ไข่ไก่หรือไข่เป็ด อะไรดีกว่ากัน ด้วยเหตุนี้เองจึงอยากจะมาชี้แจงเรื่องนี้ให้ทราบกันไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีความสำคัญมากและรับประทานกันแพร่หลายทั่วๆไป ประชาชนทั่วๆไปมักจะพูดกันและรู้จักไข่ในลักษณะอาหารเสริม บำรุงกำลัง ผู้ที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย หรือผู้ที่เจ็บป่วย มักถูกญาติมิตร เพื่อนฝูง แนะนำให้รับประทานไข่บ้าง อาหารไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสะดวกในการประกอบอาหารรับประทานอย่างไรก็ตามจริงๆแล้วเรื่องราวของไข่เกี่ยวกับคุณประโยชน์จริงๆนั้นยัง รู้จักกันน้อย บางครั้งมักจะมีผู้ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดไหนมีประโยชน์มากกว่ากันความจริงแล้ว โปรตีนจากไข่ขาวเป็นโปรตีนชั้นดี ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้แทนเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพของร่างกายได้ทั้งหมด นับว่าดีกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก ทางการแพทย์บอกว่า ไข่ขาวสามารถเปลี่ยนเป็นโปรตีนของร่างกายได้เต็ม 100 % ประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะสนใจมากนัก เราควรจะหันมาให้ความสนใจกับการรับประทานไข่ให้มากขึ้น จะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ เพราะล้วนแต่ให้ประโชน์ทั้งนั้นในต่างประเทศมักจะไม่ค่อยรับประทานไข่เป็ดกัน เพราะหาได้ลำบากกว่าไข่ไก่ จะสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดแบบเลี้ยงไก่ก็ทำไม่สะดวกไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดใด มีคุณค่ามากกว่ากันดีกว่ากัน ข้อมูลเป็นตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้สำหรับไข่ไก่ 1 ฟอง และ ไข่เป็ด 1 ฟอง

สารอาหาร ไข่ไก่ ไข่เป็ด
พลังงาน (แคลอรี) 169 180
ไขมัน (กรัม) 11.9 12.6
คาร์โบไฮเดรต (กรัม) 1.7 4.1
โปรตีน (กรัม) 12.7 11.7
แคลเซี่ยม (มิลลิกรัม) 76.0 71.0
เหล็ก (มิลลิกรัม) 3.5 2.8
วิตามินบี 1 (มิลลิกรัม) 0.08 0.27
วิตามินบี 2 (มิลลิกรัม) 0.48 0.56
วิตามินบี 5 (มิลลิกรัม) 0.1 0.1

คุณค่าของไข่ไก่และไข่เป็ด มีส่วนแตกต่างกันบ้าง เช่น ไข่ไก่หนือกว่าไข่เป็ด ในด้าน โปรตีน แคลเซี่ยม เหล็ก แต่ไข่เป็ดกลับเหนือว่าในด้านพลังงาน ไขมัน วิตามิน บี 1 วิตามิน บี 2

หากเรารับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด 1 ฟอง คิดปริมาณน้ำหนัก 5 0 กรัม เมื่อเทียบความต้อการสารอาหารที่ควรได้รับสำหรับประชาชน ใน 1 วัน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ในวันหนึ่งควรรับประทานไข่เพียงวันละ 1 ฟอง ก็จะได้สารอาหารที่จำเป็นมากพอสมควร

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ปัสสาวะอย่างไรให้ถูกวิธี


หลายคนอาจจะสงสัยว่าการขับถ่ายปัสสาวะทำไมถึงต้องมาเรียนรู้เพราะว่าทุกคนก็ขับถ่ายมาตั้งแต่เกิด จริงๆ แล้วปัสสาวะสามารถแสดงถึงความผิดปกติของร่างกายที่สำคัญ ดังนั้นในวันนี้เรามาเรียนรู้การขับถ่ายปัสสาวะอย่างถูกวิธีกันเถอะ
1. อย่ากลั้นปัสสาวะโดยเด็ดขาด เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะทันที
2. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดชำรุดได้
3. ควรถ่ายปัสสาวะให้หมดหรือให้เหลือน้อยที่สุด คือ เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา
4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัยหรือจะรู้สึกว่าปวดปัสสาวะตลอดเวลา ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือประมาณ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง
5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะและน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้ง เช่น ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะพุ่งดีหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเช่นไร เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบ่งบอกความผิดปกติของร่างกายได้
6. หลังปัสสาวะควรใช้กระดาษชำระซับอวัยวะเพศให้แห้งทุกครั้ง หรืออาจจะล้างทำความสะอาดได้ แต่อย่าให้เปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้
7. ถ้าปัสสาวะไม่ออก ต้องไปพบแพทย์ อย่าซื้อยารับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้
8. การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด
9. ควรดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ
10. ก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้งจะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ไม่ควรมีสิ่งอื่นเจือปน เช่น มูก หนอง น้ำเหลือง หรือเลือดถ้ามีถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์ทันที
12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากต้องไปพบแพทย์ทันที
13. เราทุกคนควรต้องปัสสาวะอย่างน้อยวันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะใน 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

สูตรทำช็อกโกแลต

วาเลนไทน์ นอกจากที่ดอกกุหลาบแดงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โดยที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายซื้อดอกกุหลาบให้ผู้หญิง ขณะเดียวกันผู้หญิงก็เป็นฝ่ายให้ของขวัญกับชายหนุ่มคนรักด้วย และสิ่งที่นิยมให้มากที่สุดก็คือ " ช็อคโกแลต " นั่นเอง
การมอบช็อกโกแลตให้กันในวันสำคัญอย่างวันวาเลนไทน์ คนต่างประเทศถือว่าเป็นการมอบสิ่งที่แทนความรู้สึกที่ดีของผู้ให้ทั้งหมดแด่ผู้รับ และถ้าเป็นช็อกโกแลตที่ทำขึ้นพิเศษและมอบให้กันในวันวาเลนไทน์ จะเป็นการบอกถึงความชัดเจนว่ารักและมีความปรารถนาที่ดีต่อกัน และเขายังถือว่าการให้ช็อกโกแลตยังเป็นการแสดงความรักที่นอกเหนือจากการให้ดอกกุหลาบ
ทั้งนี้คุณสมบัติพิเศษของช็อกโกแลต คือเมื่อรับประทานแล้วจะช่วยให้คลายความซึมเศร้าไปได้ เพราะช็อกโกแลตมีสารตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่น เมื่อรับประทานเข้าไปจะรู้สึกหายเหนื่อยคลายเครียด และแอคทีฟขึ้นมาทันที เขาว่ากันอย่างนั้น และเมื่อผู้ใหญ่ที่มอบช็อกโกแลตให้กับเด็ก ถือว่าเป็นการสร้างจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ซึ่งเด็กจะพอใจมากเมื่อได้รับช็อกโกแลตเป็นของขวัญ และทั้งหมดเป็นเสน่ห์ของช็อกโกแลตที่ทำให้ช็อกโกแลตได้รับความนิยมจากทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
และสำหรับคู่รักคู่ไหนกำลังเตรียมหาช็อกโกแลต มาเป็นของขวัญที่จะมอบกันในวันวาเลนไทน์อยู่ล่ะก็ เราแนะนำว่าให้ลงมือทำเองจะดีกว่า เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจทั้งผู้ให้และผู้รับ แล้วของขวัญที่เราตั้งใจมอบให้คนรักก็จะมีค่ามากขึ้น แต่ถ้าใครที่ไม่ค่อยถนัดหรือเกรงว่าถ้าทำแล้วอาจจะไม่ได้ดั่งใจ เราจะบอกเทคนิค เป็นเคล็ดที่ไม่ลับเกี่ยวกับการทำช็อกโกแลตเพื่อให้ได้ไปลองทำกัน

วิธีทำช็อกโกแลตแบบง่ายๆ 1
ไม่ใช่เรื่องยาก หากใครอยากจะบรรจงปั้นแต่งช็อคโกแลตให้คนพิเศษกับมือ เพียงแค่ไปหาซื้อช๊อกโกแลตสำเร็จรูป (ที่เป็นเมล็ดแห้งหรือแท่ง)ตามซูเปอร์มาเก็ตทั่วไป เมื่อได้มาแล้วให้นำช็อกโกแลตสำเร็จรูปมาทำละลายด้วยวิธีง่ายๆ คือ
- เตรียมน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส นำช็อกโกแลตใส่ในชามแก้ว แล้วลงแช่ในน้ำร้อนจนละลาย
- ยกขึ้น ให้อุณหภูมิต่ำลงที่ 28 องศาเซลเซียส
- จากนั้นเทใส่แม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ทิ้งไว้ให้เย็น
- ประมาณ 3 นาทีจึงค่อยแกะช็อกโกแลตออกจากแม่พิมพ์ ก็จะได้ช็อกโกแลตในรูปร่างที่ต้องการ (หากทิ้งไว้เกิน5นาทีรูปร่างช็อกโกแลตจะไม่สวย)
เคล็ดลับความอร่อยของช็อกโกแลต
ต้องเป็น "แบล็คช็อกโกแลต" หรือช็อกโกแลตดำเท่านั้นที่ใช้ในการทำช็อกโกแลต จึงจะเป็นช็อกโกแลตที่หอมและให้รสชาติความอร่อยได้ดีที่สุด และยังเป็นสูตรดั้งเดิมของชาวยุโรปด้วย(ที่สำคัญต้องไม่ใช่ช็อกโกแลตที่ทำจากนมหรือไวท์ช็อกโกแลต)
การเก็บรักษา
ควรเก็บช็อกโกแลตไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียสเท่านั้น ไม่ควรเก็บช็อกโกแลตไว้ในตู้เย็นเพราะในตู้เย็นจะมีไอน้ำมาเกาะช็อกโกแลต ทำให้ช็อกโกแลตแฉะ เปลี่ยนสีและไม่น่ารับประทาน

ที่มา http://guru.sanook.com/pedia/topic/

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

15 วิธีแก้ "เบื่อ" ก่อนปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังทำลายสุขภาพ

เริ่มต้นการทำงานกับเช้าวันจันทร์กันอีกแล้ว หลาย ๆ คนอาจยังไม่พร้อมสำหรับการลุกขึ้นสู้ในวันนี้ รวมถึงอาจมีอาการเบื่อหน่าย อยากนอนพักต่ออีกสักงีบ หรืออีกสักวัน แต่อย่าปล่อยให้ความเบื่อทำร้ายสุขภาพค่ะ เพราะมีการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญจาก University College London ระบุว่า การที่คนเราปล่อยให้ชีวิตน่าเบื่อหน่าย ไม่มีไฟในการทำสิ่งต่าง ๆ นั้นจะดึงคุณให้หันไปหาพฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพตัวเองได้ในที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด หรือมีปัญหาด้านพฤติกรรม - การเข้าสังคม ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณเสียชีวิตได้ตั้งแต่อายุยังน้อยอีกด้วยที่น่าแปลกใจก็คือ ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามที่ตอบโดยกลุ่มอาสาสมัครอายุระหว่าง 35 - 55 ปีจำนวน 7,000 คนในช่วงปี ค.ศ. 1985 - 1988 นั้นพบว่า กลุ่มผู้หญิงเป็นกลุ่มที่มีอาการเบื่อหน่ายในชีวิตสูงสุดอย่างไรก็ดี มีแนวทางที่ช่วยลดอาการเบื่อลงได้ ซึ่งทางเว็บไซต์ zenhabits.net ได้รวบรวมเอาไว้ 15 ข้อดังนี้
1. หาความท้าทายใหม่ ๆ ให้ชีวิต หลายครั้งที่คนเราเกิดความรู้สึกเบื่อเป็นเพราะชีวิตไม่ได้พบกับความท้าทายใด ๆ เลย มีแต่งานรูทีนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คงจะดีหากคุณตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ให้กับของชีวิตให้ตัวเอง และพยายามพิชิตมันให้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อย ชีวิตคุณก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว
2. มองหางานใหม่ หากวิเคราะห์แล้วว่าสิ่งที่ทำให้คุณเบื่อก็คืองานที่ทำ คุณอาจจำเป็นต้องคิดถึงการโยกย้ายเอาไว้บ้าง ซึ่งคำแนะนำของทางเว็บไซต์ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องยื่นใบลาออกทันที แต่ให้ลองทำลิสต์รายชื่อของบริษัทที่น่าสนใจ-งานที่คุณคิดว่าจะไม่ทำให้คุณเบื่อ อัปเดตประวัติการทำงาน และลองส่งออกไปก่อนดีกว่าออกมาเดินเตะฝุ่นเล่น ๆ
3. ตั้งเป้าหมายของชีวิต และจดออกมาเป็นข้อ ๆ ถึงสิ่งที่คุณต้องการจะทำให้สำเร็จให้ได้ก่อนที่คุณจะจากโลกนี้ไป ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับงานอย่างเดียว เป็นเรื่องของทัศนคติ มุมมอง หรือความต้องการใด ๆ ก็ได้ แต่หากเคยทำเอาไว้แล้ว ก็ลองหยิบมันขึ้นมาอ่านใหม่อีกสักครั้ง หรือเลือกเป้าหมายชีวิตสักข้อขึ้นมาทำให้สำเร็จในปีนี้
4. เคลียร์โต๊ะทำงาน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชีวิต และได้ย้ายของที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง หรืออาจใช้เวลานี้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ลองคิดหาวิธีที่จะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยลง
5. หางานอดิเรกที่ชื่นชอบมาทำ เช่น หาเวลาว่างอ่านหนังสือ เขียนบล็อก เล่นเกม เพื่อหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต แต่อย่าให้เบียดบังเวลางานจนกระทั่งถูกเพ่งเล็งจากคนรอบข้าง ควรใช้เวลาว่างก่อนหรือหลังเลิกงานทำงานอดิเรกเหล่านี้จะดีกว่า
6. สมัครคอร์สเรียนพิเศษหาความรู้ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นว่าต้องเรียนในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานเสมอไป อาจเป็นการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มในวันเสาร์ - อาทิตย์ เรียนทำอาหาร เรียนศิลปะ เรียนคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ได้ที่คุณสนใจ
7. ลาพักผ่อน เขียนใบลาพักร้อนสัก 1 - 2 วัน หนีความเบื่อหน่ายซ้ำซากในชีวิตก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้
8. เดินยืดเส้นยืดสาย
9. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
10. โทรศัพท์ - เขียนจดหมายหาคนที่คุณรัก
11. จัดการไฟล์บนคอมพิวเตอร์ให้เป็นระเบียบ
12. เช็คเมลให้หมด หลายคนมีเมลค้างอยู่นับสิบนับร้อยฉบับ ไม่มีเวลาเช็ค ช่วงที่เบื่อ ๆ การเข้าไปเช็คเมลให้หมด ก็อาจได้ข้อมูล - แนวคิดดี ๆ จากเมลเหล่านั้นติดกลับมือออกมาบ้าง
13. วางแผนการเงิน หรือเปลี่ยนวิธีใช้เงินของตัวเอง จากที่เคยใช้หมดไม่เคยเหลือเก็บ ก็ลองมองหารูปแบบการเก็บเงินเหมาะ ๆ ให้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ต ในการช่วยบริหารจัดการรายได้ที่มีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้นได้ด้วย (อย่างไรก็ดี ควรระวังการป้อนข้อมูลบางชนิดลงไปด้วย เช่น เลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ เพราะหากมีการรั่วไหลของข้อมูลแล้ว อาจกลายเป็นความสูญเสียทางการเงินได้)
14. อยู่ห่างจากคนหรือสถานการณ์ที่ทำให้เบื่อ แม้ว่าในชีวิตจริง คนเราจะไม่สามารถหลีกหนีคน-สถานการณ์ที่น่าเบื่อไปได้ แต่การไม่นำสิ่งเหล่านั้นมาคิดต่อก็เป็นการสร้างปราการขึึ้นในจิตใจและช่วยให้คุณมีแรงใจในการทำงานมากขึ้น
15. เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนอื่น เช่น ทำงานเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาล หรือช่วยเลี้ยงเด็กอ่อน ช่วยสอนหนังสือเด็ก ๆ เป็นต้น

ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์ เจ้าของบทความ : zenhabits.net

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เมี่ยงคะน้าปลาทู สู้ภูมิแพ้



หลังรู้จักที่มาที่ไปของ โรคภูมิแพ้ กันแล้ว คราวนี้ถึงเวลา เสิร์ฟอาหารต้านภูมิแพ้ ที่ มีส่วนผสมของ กรดไขมันโอเมก้า 3, วิตามินซี หรือยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหวัด ภูมิแพ้ ติดเชื้อง่าย, เควอร์ซีติน ช่วยรักษาการอักเสบ อาการแพ้ และหอบหืด, แมกนีเซียม รักษาอาการหลอมลมอักเสบและป้องกันโรคหืด ในเมนูที่ชื่อว่า เมี่ยงคะน้าปลาทู เตรียมส่วนผสม

- ใบคะน้าอ่อนเจียนเป็นทรงกลม

- เส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ตัดให้เรียบร้อย นำไปลวกน้ำให้นิ่ม

- พริกขี้หนูหั่นเป็นแว่น ๆ

- มะนาว กระเทียม หอมแดง ขิงอ่อน หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า

- ถั่วลิสงคั่ว เพิ่มความมันในการเคี้ยว

- กุ้งแห้งคั่ว กรุบกรอบ

- ถั่วงอก

- ปลาทูนึ่งนำไปย่าง แกะเอาแต่เนื้อ

ปรุงน้ำราดเมี่ยง ด้วย น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำเปล่าเล็กน้อย เคี่ยวพร้อม ๆ ให้เหนี่ยวกำลังดี จะให้รสหวานแกมเค็ม ชวนกิน เวลารับประทานให้นำเส้นก๋วยเตี๋ยววางบนใบคะน้าแล้วบรรจุใส่ส่วนผสมทั้งหมดลง ไป จากนั้นราดน้ำเมี่ยงมากน้อยแล้วแต่ชอบ ค่อย ๆ ห่อใบคะน้าให้พอดีคำ แล้วเข้าปากเลย อาหารต้องระวัง! สำหรับผู้ป่วยภูมิแพ้คือ อาหารที่ส่วนผสมของเกลือ ไขมัน และโปรตีน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากนมและไข่ รวมทั้งน้ำมันบางประเภท เช่น มัสตาร์ด เนยถั่ว และน้ำมันเนย

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี



10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี
ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
ที่มา:http://www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health14.htm

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีแก้ปัญหา "หน้ามันเย้ม"


วิธีแก้ปัญหา "หน้ามันเย้ม"
เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม
*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*
เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง
*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*
รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง
*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*
1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก
2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย
3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้นส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ที่มา: http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/blog-post_6197.html

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 วิธีหนีร่างกายเสียสมดุล


ด้วยชีวิตของคนทำงานที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด ทำให้ต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายที่รุมเร้าเข้าทำร้ายตัวเองอย่างช้าๆโดยไม่รู้ต­ัว จากพฤติกรรมต่างๆ ของตัวเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระดูกส ันหลังที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกายดังนั้น ก่อนที่โครงสร้างร่างกายจะเสียสมดุล เราควรต้องเปลี่ยนวีถีชีวิตตัวเองใหม่ใส่ใจกับตัวเองให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพตลอดอายุขัย ซึ่ง "เพ็ญพิชชากร แสนคำ"นักกายภาพบำบัดจากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ ได้สรุปพฤติกรรมที่ทำให้โครงสร้างร่างกายเสียสมดุล เอาไว้ 10 ข้อดังนี้

1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนหรืออาจจะคดแล้วก็ได้โดยที่ไม่รู้ตัว

2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง และจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้

3. การนั่งหลังงอ/นั่งหลังค่อม เช่นการอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้นการนั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่จะชอบนั่งแบบครึ่งๆก้น ซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ แต่ในทางตรงข้าม ถ้านั่งให้เต็มก้นเต็มเบาะ คือเลื่อนก้นให้เข้าในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่

5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียวการยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายไม่ทำให้กล้­ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งต้องทำงานหนักมากเกินไป ในทางตรงข้าม หากยืนพักขาหรือลงน้ำหนักขาไม่เท่ากัน จะทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยวส่งผลให้กระดูกสันหลังคด

6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย ขณะยืน เดิน หรือนั่ง ให้พยายามแขม่วท้องเล็กน้อยโดยให้มีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด หากเป็นไปได้ควรทำตลอดเวลาเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำใ­ห้ไม่ปวดหลัง

7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลังและการมีโครงสร้างร่างกายที่ผิด

8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียวไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป­็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆกัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ตัวคุณต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

9.การหิ้วของด้วยนิ้ว การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆแล้วกล้ามเนื้อในมือเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักคือการใช้หยิบ,จับโดยไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสี และเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมากๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่นๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้

10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ ขนานกับเพดานไม่แหงนหน้า หรือก้มคอมากเกินไป หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

เกร็ดความรู้

เกร็ดความรู้ วิธีทำความสะอาดผิวหน้า ด้วยตัวเอง
ควรจะใช้ครีมทำความสะอาดคราบเครื่องสำอาง ออกก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ใช้อยู่เป็นประจำ
จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เมื่อล้างเสร็จ ให้ใช้ครีมทาหน้า (วิธีเลือกใช้ครีมนั้นสังเกต ง่ายๆ คือ ทดลองทาบริเวณหลังมือ ถ้าครีมมีการซึมซับเร็วคือว่ามี คุณสมบัติที่ดี ส่วนวิธีการใช้ แต้มเนื้อครีมบนใบหน้า 5 จุด คือหน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง จมูกและคาง)
อย่าลืมดูแลรักษาหน้าให้สะอาดอยู่เสมอนะคะ และที่สำคัญ อย่าลืมล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนนอนทุกวัน
ที่มา http://sakid.com/2010/08/20/25210/

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คุณสำรองข้อมูลแล้วหรือยัง

วันนี้จะมาพูดถึงการสำรองข้อมูลสำหรับเว็บมาสเตอร์มือใหม่ทุกท่าน เรื่องสำคัญแต่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามไป จริงหรือเปล่าครับ ถ้าไม่แน่ใจลองสำรวจจากคนที่คุณรู้จักกันเอาเอง แต่สำหรับผมแล้ว ก็ไม่ค่อยได้สำรองข้อมูลบนเว็บของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ถ้าว่าง ก็จะรีบทำทันที

เหตุผลดีๆ ที่ควรสำรองเว็บ

  • ถ้าเปรียบเทียบ Web Hosting ที่เราใช้บริการ ก็ไม่แตกต่างจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ดังนั้น อาจมีปัญหาในส่วนของดิสก์ได้เสมอ
  • ถ้าติดไวรัส อาจไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ
  • สำหรับผู้ใช้งานเว็บที่มีฐานข้อมูล ยิ่งแล้วใหญ่ เราจะทราบได้อย่างไรว่า วันนี้ database จะเสียหาย
  • ข้อมูลของคุณมีความสำคัญ

แค่นี้ก็น่าจะพอให้เราสนใจ และเริ่มทำการสำรองข้อมูลกันได้แล้วน่ะครับ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น การป้องกัน ย่อมดีกว่าการแก้ไข

วิธีสำรองข้อมูล สำหรับเว็บที่ไม่มีฐานข้อมูล

ให้เราทำการ copy ไฟล์ทั้งหมดในโฟลเดอร์ "WWW" (ส่วนใหญ่จะใช้โฟลเดอร์นี้เป็นหลัก) สังเกตุได้ง่ายๆว่า ไฟล์เริ่มต้นอยู่ที่นี่หรือไม่ นั้่นคือไฟล์ประเภท index.html, index.htm เป็นต้น

วิธีสำรองข้อมูล สำหรับเว็บที่มีฐานข้อมูล

PhpMyAdmin Backup Database Screen

ฐานข้อมูลที่ใช้กันส่วนใหญ่ น่าจะหนีไม่พ้น MySQL ซึ่งเป็นฟรีฐานข้อมูลที่นิยมใช้กันมาก ส่วนสำหรับวิธีการสำรองข้อมูลในส่วนของ MySQL ให้ทำดังนี้

  1. เข้าผ่านหน้าเว็บที่ใช้สำหรับการแก้ไข เช่น www.myweb.com/cpanel เป็นต้น (ให้สอบถามผู้ให้บริการดู)
  2. ให้หาหัวข้อเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
  3. เลือกหัข้อ PHPMyAdmin
  4. เลือก Database ที่เราใช้
  5. เลือก Export
  6. ให้เลือกการ Export ออกจากเป็นไฟล์ .CSV หรืออาจเลือกเป็นอีกไฟล์ประเภท SQL ก็ได้
  7. จากนั้นกดปุ่ม OK และรอจนกระทั่ง export เสร็จ

แค่นี้ เราก็สามารถสำรองข้อมูลบนเว็บไซต์ของเราได้แล้ว อย่าลืมน่ะครับ กันไว้ย่อมดีกว่าแก้เป็นไหนๆ

ทำความรู้จัก Dell Streak Tablet

หลังจากที่ Apple ได้ออก iPad มา ค่ายอื่นๆ ไม่ว่าจะ Google, Microsoft, Delll, HP ตามก็พัฒนาและออกผลิตภัณฑ์มาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง มาวันนี้จะมาแนะนำอุปกรณ์ Touch Sceen จาก Dell ที่มีชื่อว่า "Dell Streak Tablet"

ดูตัวอย่างจากวีดีโอ ได้เลยครับ รับรองไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจ เรียกว่าไม่ต้องบรรยายเป็นภาษาไทยก็เข้าใจได้แน่นอน



Dell Streak Tablet





ความสามารถหลักของ Dell Streak ประกอบด้วย

ใช้ระบบปฏิบัติการ Android
เชื่อมต่อ Facebook ให้คุณอัพเดทตลอดเวลา
ไม่พลาดวีดีโอดีๆ จาก YouTube
ค้นหาสถานที่ด้วย Google Map
รองรับการใช้งานเว็บ Web ผ่าน 3G, BlueTooth, Wi-Fi
กล้องดิจิตอล 5 MegaPixels Camera
รองรับการใช้งานโทรศัพท์ด้วย


สนใจก็ลองสอบถามตามร้านค้าไอทีว่า มีนำเข้ามาแล้วหรือยัง..