ประวัติส่วนตัว

ชื่อ : นางสาวณิชานันทน์ นามสกุล : มาแผ้ว

ชื่อเล่น : เติ้ล อายุ : 21 ปี กรุ๊ปเลือด B

เกิดวันที่ : 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : 165 หมู่ 9 ตำบล ฟากห้วย อำเภอ อรัญประเทศ
จังหวัด สระแก้ว 27120

ที่อยู่ที่ติดต่อได้ : 413/13 อาคารณภัทร แมนชั่น ซอยวัดรวกสุทธาราม
ถนนจรัญสนิทวงค์ แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพ 10700

E-Mail : bs5021408383@windowslive.com

Blogspot : titlenichanun.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

มะม่วงป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม


อาจจะถึงเวลาที่ต้องเพิ่มมะม่วงในรายชื่ออาหารชั้นเยี่ยมเพราะนอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีสูงอีกด้วยและในขณะนี้ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ ค้นพบว่ามะม่วงอาจช่วยป้องกันหรือทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้การศึกษาจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์อาหารจากศูนย์วิจัยTexas AgriLife โดยทำการทดสอบสารสกัดโพลีฟีนอลในมะม่วง(สารธรรมชาติที่พบในพืช ซึ่งเชื่อว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพ) กับเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมลูกหมากในห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากมะม่วงมีผลต่อมะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมากบ้างเล็กน้อย แต่กลับมีประสิทธิภาพมากกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ตายได้ รวมทั้งยังไม่ทำอันตรายกับเซลล์ที่ดีซึ่งอยู่ติดกับเซลล์มะเร็งด้วยจากผลการศึกษานี้นักวิจัยวางแผนต่อไปว่าจะทำการทดลองเล็กๆ ทางคลินิกกับอาสาสมัครที่มีการอักเสบของลำไส้เล็กและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เพื่อดูว่ามีผลทางคลินิกหรือไม่?

สำหรับประโยชน์ของมะม่วงนั้น นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังมีวิตามินเอ(เบต้าแคโรทีน) และมีวิตามินอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น วิตามินอี บี และเค ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นสำหรับหัวใจ ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและยังอุดมไปด้วยเส้นใย ช่วยรักษาอาการท้องผูกและกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่แข็งเกร็งได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

'การเดิน' ช่วยให้สมองเสื่อมช้าลง



ทุกคนรู้ว่าการเดินทำให้ร่างกายผู้สูงวัย ยืดหยุ่นขึ้น แต่มีกี่คนที่รู้ว่าการออกกำลังกายที่ไม่มีค่าใช้จ่ายนี้ ดีต่อสมองด้วย งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การเดินกระตุ้นการเชื่อมโยงภายในวงจรสมอง ที่มีแนวโน้มเสื่อมถอยลงขณะที่ผมหงอกเพิ่มจำนวนแทนที่ผมสีอื่น "รูปแบบการเชื่อมต่อของ เครือข่ายสมองของผู้สูงวัยจะเสื่อมลง ซึ่งไม่ช่วยสนับสนุนสิ่งที่เราทำ เช่น การขับรถ แต่เราพบว่าความสามารถของร่างกายที่จะนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เครือข่ายสมองประสานกันมากขึ้น" ดร.อาร์เธอร์เอฟ เครเมอร์ ผู้นำการวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์สหรัฐฯ กล่าว การศึกษาการเดินของเครเมอร์ที่ตีพิมพ์อยู่ในวาร สารฟรอนเทียร์อิน เอดจิ้ง นิวโรไซนส์ ติดตามผลผู้ใหญ่อายุ 60-80 ปี จำนวน 70 คน เป็นเวลา 1 ปี โดยมีอาสาสมัครหนุ่มสาวอายุ 20-30 ปี อีกกลุ่มเป็นกลุ่มควบคุมเพื่อใช้เปรียบเทียบในการประเมินพฤติกรรมการนั่งๆ นอนๆ ในอดีตของกลุ่มตัวอย่าง เครมเมอร์เผยว่า กลุ่มที่ออกกำลังกายด้วยการเดิน มีพัฒนาการชัดเจนกว่า ไม่เพียงในด้านร่างกาย แต่จากการใช้อุปกรณ์เอฟเอ็มอาร์ไอสแกนสมองยังพบว่า กลุ่มนี้มีความจำดีขึ้น รวมถึงสมาธิ และกระบวนการคิดอีกหลายอย่าง "ขณะที่ผู้สูงวัยในกลุ่มที่เดิน ออกกำลังกายมีความฟิตทางร่างกายมากขึ้น การประสานงานระหว่างสมองส่วนต่างๆ ดีขึ้นเช่นกัน และเกือบเทียบเท่าหนุ่มสาวอายุ 20 ปีเลยทีเดียว" เครเมอร์อธิบาย อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่สามารถสังเกตเห็นได้หลังจากมีการออกกำลังกายด้วยการเดินนาน 12 เดือน และจากการวัดผลในช่วง 6 เดือนแรกไม่ปรากฏสัญญาณชัดเจนใดๆ การค้นพบนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ ดร.ลินน์ มิลลาร์ ผู้เชี่ยวชาญของอเมริกัน คอลเลจ ออฟ สปอร์ตส์ เมดิซิน และเป็นศาสตราจารย์สาขากายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยแอนดริวส์ในมิชิแกนสหรัฐฯ เธอบอกว่าแม้การเดินดูเหมือนเป็นกิจกรรมเรียบง่าย แต่จริงๆ แล้วระหว่างนั้น สมองทำงานในการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
"ขณะเดินเรารวบรวมข้อมูลภาพ เสียง ตลอดจนถึงข้อมูลที่มาจากข้อต่อและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของเท้า แรงที่ใช้ และอื่นๆ เป็นความคิดแบบคนสมัยก่อน นั่นคือถ้าคุณไม่ใช้ คุณก็จะสูญเสียมันไป ดังนั้น เพื่อให้ได้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆ เราจึงจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้นซ้ำๆ และการเดินก็เป็นกิจกรรมที่สามารถทำซ้ำได้ไม่รู้จบ" มิลลาร์ กล่าว แม้การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ ได้เมื่อถึงวัยชรา แต่ไม่จำเป็นว่าสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนที่เกิดกับคนทั่วไป "เรารู้ว่าปฏิกิริยาของเราจะช้า ลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่การทำกิจกรรมเป็นวิธีรับมือที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ถ้าเราออกเดิน เราจะสามารถยืดเส้นยืดสายและทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น" ทางด้านเครเมอร์ที่ทำงานกับทหารและผู้พิการด้วย ยังคงมุ่งมั่นศึกษาผลลบจากภาวะสูงวัยจากทางเลือกไลฟ์สไตล์ต่างๆ "เราสนใจที่จะได้เข้าใจความ ยืดหยุ่นของสมอง แต่เรายังสนใจในเรื่องที่ว่าจะต้องอะไรบ้างเพื่อให้ได้สิ่งนั้นด้วย เราไม่สามารถรอยาวิเศษแต่ควรทำบางอย่างให้แก่ตัวเองตั้งแต่วันนี้"

วิธีนอนในรถอย่างปลอดภัย


การจอดรถนอนนั้นเป็นเรื่องที่เราแนะนำให้คนจำนวนมากทำ โดยเฉพาะในหมู่นักเดินทางที่เหนื่อยล้าจากการขับรถทางไกลเป็นเวลานานๆ อาการดังกล่าวนั้น อาจส่งผลให้เกิดการหลับในและก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการจอดรถหลับพักผ่อนสักหน่อยก่อนจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง อันตรายจากการจอดรถนอนหลับนั้นความจริงแล้ว เป็นภัยใกล้ตัวที่เราอาจวิตกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตมากกว่าคิดถึงเรื่อง อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ ที่เรามักจะอ่านข่าวพบว่า มีคนเสียชีวิตจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้แล้วเปิดแอร์นอน สิ่งที่ผิดที่สุดของแนวคิดการนอนในรถนั้นไม่ใช่ระบบปรับอากาศ แต่มันคือการสตาร์ทเครื่องยนต์เดินเบาทิ้งเอาไว้ เพื่อให้ระบบปรับอากาศนั้นสร้างความเย็นสบายตลอดเวลา ความคิดที่รักสบายนี่เอง ทำให้หลายคนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ เพราะ แม้เครื่องยนต์และระบบปรับอากาศในห้องโดยสารจะไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่าความจริงนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความตาย โดยปกติแล้วระบบปรับอากาศภายในรถยนต์นั้น จะทำงานคล้ายๆกับระบบแอร์ทั่วไป คือ แลกเปลี่ยนอุณภูมิผ่านน้ำยาที่เป็นตัวนำไประบายความร้อนออก แล้วกลับมาวนปรับอุณภูมิต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ จนได้อุณหภูมิตามต้องการ แม้เราจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าระบบปรับอากาศในห้องโดยสาร เป็นพื้นที่ปิดเพื่อใช้กักเก็บอุณหภูมิ แต่สิ่งที่อยู่ในระบบกับการดูดอากาศภายนอกบางส่วนมาหมุนเวียนในห้องโดยสาร นั้นกลับเป็นชนวนต้นเหตุความตาย นี่เองที่เป็นสาเหตุหลักที่อาจทำให้คุณตายได้โดยไม่รู้ตัว เพราะ เมื่อคุณติดเครื่องยนต์รถทิ้งไว้ไอเสียบางส่วนก็จะถูกพัดลมแอร์ดูดเข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งถ้าหากมันมาเป็นจำนวนมากคุณจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงและตื่นขึ้นเหมือน สัญญาณเตือนของร่างกาย ซึ่งในรถยนต์บางรุ่นจะติดตั้งตัวดักไอเสียสู่ห้องโดยสาร เพื่อป้องกันคนนอนในรถเป็นเวลานานๆ แต่กลับกันเมื่อเจ้าก๊าซพิษค่อยๆย่างกรายเข้ามาทีละนิด ในขณะที่กำลังฝันหวานก็ไม่ทางรู้สึกเลยว่ากำลังชะตาขาดขณะพักผ่อน หลายคนคงเคยรู้สึกปวดหัวเวลาขับรถไปเจอการการจราจรขัดติด โดยมากคงนึกว่าเรากำลังผจญภาวะความเครียด แม้เหตุผลดังกล่าวจะถูกต้องในส่วนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วอีกด้านเรากำลังสูดดมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ร่างกาย และจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์ ได้กล่าวถึง อันตรายของการสูดดมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ว่า อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง ปวดศีรษะ เซื่อมซึม เคลิบเคลิ้ม สั่นกระตุก หายใจติดขัด หมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นปิดปกติ เนื่องจากมีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ และมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากพบว่า ถ้าเราสูดดมไอเสียทีละน้อยเป็นเวลากว่า 5-6 ชั่วโมง อาจส่งเราสู่สุคติได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้หากคุณมีความจำเป็นจริงๆในการนอนในรถระหว่างเดินทางเราก็มีวิธีที่ถูกต้องมาแนะนำให้ปฏิบัติตามกัน

1. หาที่เหมาะสม เมื่อเริ่มรู้สึกง่วงพยายามหาที่เหมาะสมในการจอดรถ เราแนะนำให้จอดในสถานีบริการ ถ้าเป็นไปได้หรือถ้าไม่มีก็พยายามหาจุดที่เป็นชุมชน ป้อมตำรวจทางหลวงหรือไม่ก็มีแสงไฟสลัวๆดีกว่า เพื่อป้องกันโจรไปด้วยในตัว

2. ดับเครื่องยนต์ เมื่อจอดแล้วดับเครื่องยนต์ทันทีแม้อาจจะเริ่มรู้สึกอึดอัดบ้าง หากคิดว่าไม่สบายตัวก็แง้มกระจกลงสักนิด 2-3 เพื่อระบายอากาศและรับลมจากภายนอก

3. ปรับเบาะเอนเบาะนอนให้เหมาะสม การนอนในรถไม่ใช่การที่คุณเอนนอนทั้งหมด เพราะ แต่ละคนมีท่านอนที่ชอบไม่เหมือนกัน ให้คุณปรับเอนนอนให้พอดีเพียงพอ เพราะการเอนนอนมากไปจะทำให้คุณเมื่อล้าได้ภายหลัง

4. ใช้พัดลมแอร์ช่วยให้หลับ เมื่อพร้อมจะหลับก็ให้บิดกุญแจไปที่จังหวะออนเพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงาน แล้วจึงบิดเปิดสวิทช์แอร์ เมื่อเปิดแล้วให้หาปุ่มที่เขียนว่า A/C หรืออาจะเป็นรูปรถที่มีลูกศรชี้เข้ามาในตัวรถจากภายนอกให้เลือกกดปุ่มดัง กล่าว ซึ่งพัดลมแอร์จะดูดอากาศมาหมุนเวียนในห้องโดยสารแม้จะไม่เย็นเหมือนแอร์แต่ ก็พอให้คุณเคลิ้มหลับได้สบาย ซึ่งบางคนอาจเกรงว่าแบตจะหมด แต่เราแค่ต้องการพักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งแบตเตอร์รี่ขนาด 60 แอมป์ สามารถใช้ได้นานกว่า 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว นี่เป็นวิธีการนอนในรถที่ถูกต้องและเราไม่ แนะนำให้ใช้รถเป็นโรงแรมคลื่อนที่ เนื่องจากแม้จะนอนได้แบบพอทน แต่มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพกระดูกสันหลัง เช่นเดียวกับความไม่ปลอดภัยในชีวิต หากจำเป็นควรนอนพอให้หายอ่อนเพลียประมาณ 30-40 นาที เมื่อพร้อมแล้วจึงเดินทางต่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ขนมไหว้พระจันทร์


เทศกาลไหว้พระจันทร์ มีเครื่องเซ่นไหว้เป็นขนมเปี๊ยะ เช่นเดียวกับเทศกาลอื่นๆที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ กันไป เช่น เทศกาลไหว้ขนมจ้าง ก็มีขนมบ๊ะจ่าง, เทศกาลหยวนเซียว (เทศกาลโคมไฟ) ก็มีขนมสาคูต้ม (ทางหยวน) ขนมไหว้พระจันทร์ เรียกในภาษาจีนว่า “ เย่ว์ปิ่ง ” “ เย่ว์ ” แปลว่า พระจันทร์ “ ปิ่ง ” แปลว่า ขนมเปี๊ยะ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นศิริมงคล ความปรารถนาดีต่อกัน และความสมัครสมานสามัคคี เพราะในเทศกาลนี้คนในครอบครัวจะมาอยู่พร้อมหน้ากัน กินขนมไปพลาง ชมพระจันทร์ไปพลางเดิมทีนั้น เย่ว์ปิ่ง เรียกว่า “ หูปิ่ง ” ซึ่งแปลว่า ขนมเปี๊ยะวอลนัท ซึ่งเป็นขนมแป้งอบของจีนทำมาจากงาและวอลนัท ชื่อ “ หูปิ่ง ” ภายหลังเปลี่ยนมาเป็น“ เย่ว์ปิ่ง ” ก็มีเรื่องเล่าเช่นกันว่า ในคืนวันไหว้พระจันทร์ปีหนึ่ง พระเจ้าถังเสวียนจงปรารภขึ้นว่า ชื่อ “หูปิ่ง” ไม่ไพเราะ ขณะนั้นหยางกุ้ยเฟยสนมเอกของพระองค์ ซึ่งนั่งชมจันทร์อย่างเพลิดเพลินอยู่ข้างๆ ก็เปรยขึ้นมาว่า “เย่ว์ปิ่ง” ที่แปลว่า ขนมเปี๊ยะพระจันทร์ ตั้งแต่นั้นมาจึงใช้ชื่อนี้เรียกแทน“หูปิ่ง” เรื่อยมา

ตำนานของขนมไหว้พระจันทร์ ก็มีเรื่องเล่าที่เกี่ยวโยงกับพงศาวดารจีนอยู่ด้วย กล่าวคือ เมื่อประมาณ 600 ปีก่อน เล่ากันว่า เจงกิสข่านแห่งมองโกลเข้ายึดครองแผ่นดินใหญ่และปกครองชาวจีนอย่างเข้มงวด ชาวจีนกลุ่มหนึ่งจึงรวมตัวกันก่อตั้งขบวนการใต้ดินเพื่อทำการก่อกบฏพวกเขาคิดอุบายโดยอาศัยงานวันไหว้พระจันทร์ ซึ่งจะมีการทำขนมเปี๊ยะขนาดใหญ่มีไส้หนา ภายในขนมได้ซ่อนจดหมายนัดแนะกันกำจัดพวกมองโกล กำหนดเวลาเที่ยงคืนของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นคืนก่อการ แล้วแจกจ่ายไปในหมู่ผู้ก่อการกบฏ ทำทีว่าเป็นการนำขนมไปแจกในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย เมื่อถึงเวลาก็ตีเกราะเคาะร้องบอกกัน ให้ลงมือสังหารชาวมองโกลทันทีภายหลังเมื่อชาวจีนได้เอกราชคืน ได้ถือเอา วันเพ็ญเดือนแปด เป็นวันไหว้พระจันทร์เรื่อยมา และนำขนมเปี๊ยะนี้มาไหว้พระจันทร์อีกด้วย เพราะถือเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความสามัคคีร่วมกันขนมไหว้พระจันทร์มีลวดลายหลายรูปทรง รวมถึงไส้ขนมที่แตกต่างกันไป
ขนมไหว้พระจันทร์รสเลิศของประเพณีจีน ซึ่งในยุคหลังๆ มานี้ ชาวจีนนิยมให้เป็นของขวัญระหว่างครอบครัวและเพื่อนฝูงในเทศกาลไหว้พระจันทร์ จนมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจและที่ทำงานในสังคมจีนยุคใหม่ไปแล้วก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือที่ชาวจีนเรียกว่า เทศกาลใบไม้ร่วง(中秋节)ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 พื้นที่เคานท์เตอร์ต้อนรับในอาคารสำนักงานเกือบทุกแห่งของจีน เต็มไปด้วยกล่องขนมไหว้พระจันทร์เทศกาลตามประเพณีเก่าแก่นี้ ดูจะกลายเป็น “เทศกาลคริสต์มาส”ของชาวจีน ด้วยจำนวนการให้และรับของขวัญสูงกว่าเทศกาลอื่นๆ บางบริษัทในปักกิ่ง มีการส่งของขวัญให้ลูกค้าในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์มากกว่าที่ส่งให้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วยซ้ำหลินเจียน นักเขียนรับเชิญของเว็บไซต์นิตยสารไฟแนนเชียล ไทมส์ ภาคภาษาจีน กล่าวว่า การส่งขนมไหว้ให้แก่กันเป็นเพียงการสื่อความต้องการรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ “จำนวนขนมไหว้พระจันทร์ที่บุคคลหนึ่งได้รับ จะเป็นตัววัดคุณค่าในตัวบุคคลนั้น” หลินระบุ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553


โรคร้อนในหรือโรคปากเปื่อยซึ่งมักจะเกิดในคนที่นอนหลับ พักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายอ่อนแอขาดภูมิคุ้มกันเชื้อโรค ในช่องปากโรคนี้เป็นโรคที่อาจจะดูไม่ร้ายแรง แต่ทำให้เกิดความทุกข์ ทรมานแก่ผู้เป็นได้ไม่น้อย เพราะกินดื่มอะไรก็ไม่สะดวก ปวดแสบปวดร้อนตรงแผลบริเวณแผลที่พองอยู่ตลอดเวลา วิธีแก้ลอง เอาเกลือป่นอมไว้ในปากสัก 10 นาที ทำอย่างนี้ ทั้งเช้าและเย็น เกลือจะสมานแผลและฆ่าเชื้อโรคได้ดี อาการปากเปื่อยแผลพุพองจะทุเลาเร็วขึ้น

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

5 อย่า! เมื่อคุณจะนอน


อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ
เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อยๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย
อย่าคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับ
รวมถึงอย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ไกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า
เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง
อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง
ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ
อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า
อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น
เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย . . . (อันนี้ขำๆ ค่ะ แต่ถ้าแฟนเขารู้คุณๆ อาจขำไม่ออกนะจ๊ะ)

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

จะกินไข่ไก่หรือไข่เป็ดดี


วันนี้คุณรับประทานไข่หรือยังหรือวันนี้คุณรับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วว่า ไข่ไก่หรือไข่เป็ด อะไรดีกว่ากัน ด้วยเหตุนี้เองจึงอยากจะมาชี้แจงเรื่องนี้ให้ทราบกันไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีความสำคัญมากและรับประทานกันแพร่หลายทั่วๆไป ประชาชนทั่วๆไปมักจะพูดกันและรู้จักไข่ในลักษณะอาหารเสริม บำรุงกำลัง ผู้ที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย หรือผู้ที่เจ็บป่วย มักถูกญาติมิตร เพื่อนฝูง แนะนำให้รับประทานไข่บ้าง อาหารไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสะดวกในการประกอบอาหารรับประทานอย่างไรก็ตามจริงๆแล้วเรื่องราวของไข่เกี่ยวกับคุณประโยชน์จริงๆนั้นยัง รู้จักกันน้อย บางครั้งมักจะมีผู้ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดไหนมีประโยชน์มากกว่ากันความจริงแล้ว โปรตีนจากไข่ขาวเป็นโปรตีนชั้นดี ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้แทนเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพของร่างกายได้ทั้งหมด นับว่าดีกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก ทางการแพทย์บอกว่า ไข่ขาวสามารถเปลี่ยนเป็นโปรตีนของร่างกายได้เต็ม 100 % ประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะสนใจมากนัก เราควรจะหันมาให้ความสนใจกับการรับประทานไข่ให้มากขึ้น จะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ เพราะล้วนแต่ให้ประโชน์ทั้งนั้นในต่างประเทศมักจะไม่ค่อยรับประทานไข่เป็ดกัน เพราะหาได้ลำบากกว่าไข่ไก่ จะสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดแบบเลี้ยงไก่ก็ทำไม่สะดวกไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดใด มีคุณค่ามากกว่ากันดีกว่ากัน ข้อมูลเป็นตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้สำหรับไข่ไก่ 1 ฟอง และ ไข่เป็ด 1 ฟอง

สารอาหาร ไข่ไก่ ไข่เป็ด
พลังงาน (แคลอรี) 169 180
ไขมัน (กรัม) 11.9 12.6
คาร์โบไฮเดรต (กรัม) 1.7 4.1
โปรตีน (กรัม) 12.7 11.7
แคลเซี่ยม (มิลลิกรัม) 76.0 71.0
เหล็ก (มิลลิกรัม) 3.5 2.8
วิตามินบี 1 (มิลลิกรัม) 0.08 0.27
วิตามินบี 2 (มิลลิกรัม) 0.48 0.56
วิตามินบี 5 (มิลลิกรัม) 0.1 0.1

คุณค่าของไข่ไก่และไข่เป็ด มีส่วนแตกต่างกันบ้าง เช่น ไข่ไก่หนือกว่าไข่เป็ด ในด้าน โปรตีน แคลเซี่ยม เหล็ก แต่ไข่เป็ดกลับเหนือว่าในด้านพลังงาน ไขมัน วิตามิน บี 1 วิตามิน บี 2

หากเรารับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด 1 ฟอง คิดปริมาณน้ำหนัก 5 0 กรัม เมื่อเทียบความต้อการสารอาหารที่ควรได้รับสำหรับประชาชน ใน 1 วัน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ในวันหนึ่งควรรับประทานไข่เพียงวันละ 1 ฟอง ก็จะได้สารอาหารที่จำเป็นมากพอสมควร